วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้/ประมวลความรู้


สรุปการรายงานการศึกษาดูงานทุกกลุม >>> คลิ๊กที่นี่ <<<

บันทึกการเรียนรู้เรื่อง ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดทางการบริหารจัดการจัดการระบบงาน ECT

                
                 หลัักการการจัดการระบบงานเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา (ECT) มีดังนี้
        1. หลักการจัดการโดยวัตถุประสงค์เป็นฐาน (Objective Base Management / Management by Objective : MBO) โดย Peter Drucker เน้นหลักการการกำหนดวัตุประสงค์ กระบวนการทำงานร่วมกัน ขององค์กร
        2. หลักการจัดการโดยสมรรถนะเป็นฐาน/มุ่งเน้นผลงาน (Performance-Based Management) โดย Stanley and Sturt-Smith เน้นผลงาน/ผลสำเร็จของงานตามเป้าหมายขององค์กร
        3. หลักการจัดการโดยการมีส่วนร่วมเป็นฐาน (Participatory-Based Manager) เน้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับงาน ECT ได้มีส่วนในการวางระบบงานร่วมกัน
        4. หลักการจัดการโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์เป็นฐาน (Results-Based Management) เน้นผลสัมฤทธิ์ของการบริหารงานเป็นหลัก โดยมีการวัดผลของการปฏิบัติงานที่ชัดเจน

                                                           ******************************
บันทึกการเรียนรู้เรื่อง ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับระบบงาน ECT

          1. ทฤษฏีการสื่อสาร : SMCR Model โดย เดวิด เค. เบอร์โล (David K.Berlo) ได้พัฒนาทฤษฎีที่ผู้ส่งจะส่งสารอย่างไร และผู้รับจะรับ แปลความหมาย และมีการโต้ตอบกับสารอย่างไร
     2. ทฤษฏีระบบ : ทฤษฎีระบบ (System Theory) เป็นทฤษฎีที่ทำให้นักบริหาร สามารถที่จะมองเห็นภาพรวมขององค์การทั้งหมดตามหน้าที่ที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาองค์การในลักษณะระบบนั้นจะก่อให้เกิดการวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาขององค์การทั้งระบบ
    3. ทฤษฏีการเผยแพร่ : ทฤษฎีและการเผยแพร่ของศาสตร์ต่าง ๆ นำไปสู่การสร้างทฤษฎีการเผยแพร่ขึ้นและเป็นทฤษฎีที่ไม่บ่งชี้เฉพาะว่า  ใช้สำหรับการเผยแพร่นวัตกรรรมของสาขาวิชาหรือศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งโดยเฉพาะ  เหตุผลที่ว่าทำไมทฤษฎีการเผยแพร่ถึงไม่มีความเฉพาะ  เนื่องจากการเผยแพร่นวัตกรรมนั้นมีในทุกสาขาวิชาและทุกศาสตร์

การนำไปประยุกต์ใช้ 
      การดำเนินงานใด ๆ ก็ตามเกิดขึ้นอย่างมีระบบ เราจะเห็นถึงความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันอย่างเป็นองค์รวม องค์กรแห่งหนึ่งที่บริหารงานด้าน ECT เริ่มต้นด้วยการวางแผนงานในด้านต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ การจัดทำแผนงาน, รูปแบบการดำเนินงาน, งบประมาณ , ทีมงาน, พันธมิตร ฯลฯ ในกรอบเวลาที่กำหนด เมื่อเข้าสู้การดำเนินงานปฏิบัติ จนงานเสร็จสิ้นกระบวนการ  ต้องประเมินผลการจัดกิจกรรมดังกล่าวมีผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งในรูปตัวเงิน การสนับสนุนจากสปอนเซอร์ หรือพันธมิตร  หรือองค์กรที่มีส่วนร่วม สื่อแขนงต่าง ๆ ที่เผยแพร่ข่าวสารกิจกรรม ฯลฯ ตลอดจน การประเมินผลจาก Feedback ในการปฏิบัติงานในลักษณะต่างๆ

บันทึกการเรียนรู้เรื่อง : SWOT Analysis


SWOT Analysis คืออะไร 
                  SWOT Analysis เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์หรือสภาพองค์กร เพื่อค้นหา จุด แข็ง จุดอ่อน รวมถึงโอกาส และอุปสรรคในการดําเนินการขององค์กร หรือความสามารถในการแข่งขัน เพื่อ นําพาองค์กรไปสู่สภาพที่ต้องการในอนาคตหรือเป้าหมายที่วางไว้ 

 SWOT เป็นตัวย่อของ คํา 4 คํา ที่มีความหมายดังนี้ 
                 S   ย่อมาจาก  Strengths    คือ ลักษณะเด่นขององค์กรที่เป็นปัจจัยเอื้อต่อความสําเร็จขององค์กร (จุดแข็ง)
                W  ย่อมาจาก  Weaknesses   คือ ลักษณะขององค์กรที่ไม่ดี เป็นอุปสรรคต่อความสําเร็จขององค์กร (จุดอ่อน)
                O  ย่อมาจาก  Opportunities    คือ ปัจจัยภายนอกที่เอื้อต่อความสําเร็จขององค์กร (โอกาส)
                T  ย่อมาจาก  Threats    คือ ปัจจัยภายนอกที่คุกคามหรือทําให้เกิดปัญหาต่อความสําเร็จขององค์กร (อุปสรรค)

ประโยชน์ของ SWOT Analysis 
                 ผลจาก SWOT Analysis จะช่วยให้เข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อการดําเนินการขององค์กร หลังจาก วิเคราะห์เพื่อประเมินปัจจัยภายในองค์กรเพื่อให้ทราบ จุดแข็ง และจุดอ่อน ประเมินปัจจัยภายนอกเพื่อให้ ทราบ โอกาส และอุปสรรค แล้ว  จุดแข็งและโอกาส จะนํามาใช้เพื่อให้องค์กรบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ในขณะที่ จุดอ่อนและอุปสรรค จะนํามาวางแผนเพื่อหาทางแก้ไขหรือป้องกันเพื่อไม่ให้มาขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของ องค์กร  โดยที่ข้อมูลทุกด้าน เหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการกําหนดวิสัยทัศน์ขององค์กร การกําหนด ยุทธศาสตร์และการวางแผนการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมต่อไป 
                                                 ******************************

บันทึกการเรียนรู้เรื่อง : ลักในการบริหารจัดการองค์กร POSDCoRB

POSDCoRB คืออะไร

POSDCoRB คือ หลักในการบริหารจัดการองค์กรที่ใช้กันทั้งในภาครัฐ และ เอกชน  ที่ผู้มีอำนาจบริหารมีหน้าที่ และ บทบาทการบริหารอยู่ 7 ประการ คือ
P- Planning หมายถึง การวางแผน ได้แก่ การจัดวางโครงการและแผนงานต่างๆ ขึ้นมาไว้ล่วงหน้า
O-Organizing หมายถึง การจัดองค์การ ได้แก่ การแบ่งงาน การกำหนดส่วนงาน โครงสร้างขององค์การ การกำหนดตำแหน่งงานต่างๆ พร้อมกับอำนาจหน้าที่
S-Staffing หมายถึง การจัดการเกี่ยวกับตัวบุคคลในองค์การ นับตั้งแต่ การจัดอัตรากำลัง การสรรหา การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้งบุคคล การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือน การโยกย้าย การพัฒนาบุคคลในองค์การเรื่อยไปจนกระทั่งการให้บุคคลพ้นจากตำแหน่ง
D-Directing หมายถึง การอำนวยงาน ได้แก่การทำหน้าที่ในการตัดสินใจ วินิจฉัยสั่งการ การออกคำสั่ง มอบหมายภารกิจการงานไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หลังจากนั้นต้องใช้ภาวะของการเป็นผู้นำในการกระตุ้นจูงใจคนให้ยอมรับในผู้บริหาร
Co- Coordinating หมายถึง การประสานงาน ได้แก่ การทำหน้าที่ในการประสานกิจกรรมต่างๆ ที่ได้มีการแบ่งแยกออกไปเป็นส่วนงานย่อยๆ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถทำงานประสานสอดคล้องกัน และมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
R- Reporting หมายถึง การรายงาน ได้แก่การทำหน้าที่ในการรับฟังรายงานผลการฏิบัติงานของบุคคลและหน่วยงานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาได้รายงานมา การรายงานถือเป็นมาตราการในการตรวจสอบและควบคุมงานด้วย
B- Budgeting หมายถึง การงบประมาณ ได้แก่ หน้าที่ที่เกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณ การจัดทำบัญชีการใช้จ่ายเงินและการตรวจสอบควบคุมด้านการเงิน การบัญชีของหน่วยงานนั่นเอง
 POSDCoRB ใช้เพื่อ
สร้างกลไก และ โครงสร้างให้กับองค์กร จัดเตรียมบุคลากรที่มีความชำนาญต่างกันให้อยู่ในแผนกที่เหมาะสมกับองค์กร บุคลากรรู้หน้าที่ และ ผู้บริหารสามารถบริหาร และ สั่งการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ วางกรอบการทำงานให้องค์กรเพื่อเป็นแนวทางในการบริหาร ส่งเสริมการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกันภายในองค์กร
4. ข้อดีข้อเสียของ POSDCoRB
ข้อดี
·      องค์กรมีโอการประสบผลสำเร็จบรรลุเป้าหมาย มีสายบังคับบัญชาเดียว
·      สมาชิกองค์กรมีความเข้าใจวัตถุประสงค์องค์กร และ แบ่งสายงานชัดเจน ไม่สับสน
·      ในหน่วยงานเดียวกัน มีความเข้มแข็ง เพราะเลือกสายอาชีพเดียวกันมาร่วมกันทำงาน
·      ใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า ถูกที่ถูกงาน
·      การประสานงานระหว่างหน่วยงานมีความสะดวก
·      จัดเตรียมงบประมาณสนับสนุนแต่ละส่วนได้อย่างเหมาะสม
ข้อเสีย
·      เมื่อมีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน บางหน่วยงานอาจเลี่ยงปฎิบัติงานจนกว่าผู้บริการจะสั่งการลงมาโดยตรง
·      อุปกรณ์หรือเครื่องมือบางชนิดที่อยู่นอกเหนือหน่วยงานตนเอง อาจต้องรอจนกว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบมาเป็นเมื่อการดำเนินงานให้
·      ทุกคนล้วนอยากอยู่ในหน่วยงานบริหารหลัก ทำงานใกล้ชิดผู้บริหาร อาจเกิดความขัดแย้ง
การนำไปใช้ประโยชน์
1. หลักสกาลาร์ หรือสายการบังคับบัญชา
2. หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
3. หลักช่วงการบังคับบัญชา                       
4. หลักการเน้นที่จุดสำคัญ           
5. หลักการจัดแบ่งแผนกงาน       
6. หลักการเกี่ยวกับหน่วยงานหลักและหน่วยอำนวยการ
7. หลักการเกี่ยวกับศูนย์กำไร

กรณีศึกษา : การนำไปใช้ในการบริหารสถานศึกษา

ในส่วนของการบริหารงานส่วนใหญ่มักจะเป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้บริหารของโรงเรียน หลักในการบริหาร ลำดับแรกครูต้องมีการวางแผน (Planning) เช่นในรายวิชานั้น ครูจะสอนเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องใดบ้าง มีการจัดให้ในห้องเรียนนั้น (Organizing) หาหัวหน้าห้องหรือตัวแทนของนักเรียนในแต่ละคาบ (Staffing) เพื่อเป็นผู้ช่วยครู (Directing) ให้คอยควบคุมดูแลนักเรียนคนอื่นๆ  ช่วยเช็คชื่อ ประสานงาน (Coordinating) ระหว่างครูกับนักเรียน ติดตามเรื่องงานและเรื่องกิจกรรมอื่นๆ ที่ครูอาจจะมีการสั่งไปให้ (Reporting) การที่ครูสามารถใช้นักเรียนเป็นผู้ช่วยจะทำให้ผูกมัดทางใจกับเพื่อนมากกว่า ทำให้นักเรียนที่ทำงานอย่างตั้งใจประกอบการงานเต็มความสามารถและทำด้วยความกระตือรือร้น
                                         *******************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง

1.สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช     >> คลิ๊กที่นี่ << 2.SWOT องค์กรที่ศึกษาในข้อ 1. >>> คลิ๊กที...